This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บริจาคเลือด : ได้ทั้งผู้ให้ ผู้รับ

            การบริจาคเลือด ถึงเป็นกุศลและการแบ่งปันที่สูงค่า นอกจากความภูมิใจที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นโดยทางอ้อมแล้ว เชื่อไหมคะว่าการบริจาคเลือด ยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย 
            มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเลือดของเราซักเล็กน้อยค่ะ เลือดประกอบด้วยพลาสมา และเม็ดเลือด คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ก็ประมาณซัก 5-6 ลิตรสำหรับผู้ชาย และ 4-5 ลิตรสำหรับผู้หญิง
เม็ดเลือดแต่ละชนิดจะมีอายุการทำงานที่ชัดเจนคือ เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดมีอายุ 5-10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เม็ดเลือดจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูกก็จะรับหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ขึ้นมา

            ปริมาณเลือดที่มีในร่างกาถูกสร้างมาไว้เกินความต้องการใช้ เพราะร่างกายต้องการใช้เพียง 4 ลิตร เท่านั้น ส่วนเลือดอีกลิตรกว่าๆ ถูกสร้างมาเพื่อสำรองในเหตุการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นการบริจาคเลือดจึงไม่มีผลเสียต่อร่างกาย เพราะการรับบริจาคเลือดจะใช้เพียงประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำเลือดสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกาย อีกทั้งได้ประโยชน์อีกด้วยนะคะ ประโยชน์ที่พูดถึง เช่น
         • ร่างกายได้เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น
         • กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น          • ได้ตรวจสุขภาพทางอ้อม เพราะเมื่อมีการได้รับเลือดแล้ว ทางสภากาชาดจะต้องตรวจหาภาวะติดเชื้อต่างๆ เท่ากับผู้บริจาคได้รู้ภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้นด้วย          • ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยง   โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย หากมีสะสมมาก โอกาสเสี่ยงย่อมสูง การบริจาคเลือดช่วยให้ร่างกายลดการสะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง 

ทุเรียน : กินอย่างไรไม่ให้อ้วน

             ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานและแคลอรี่สูง เพราะมีสารอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ต้องกินให้พอดี โดยเฉพาะคนอ้วน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้องระวังเพราะอาจทำให้โรคกำเริบได้ 
             แล้วทุเรียน กินอย่างไรไม่ให้อ้วน ง่ายๆนะคะเพียงแค่ตื่นขึ้นมากินตอนประมาณ 05.00 น. อาจจะเช้าหน่อย แต่คุ้มค่า!!นะคะ เพราะนอกจากไม่อ้วนแล้วยังช่วยในการฆ่าพยาธิประจำปีได้ด้วยค่ะ อาจจะผิดเวลาของการลิ้มรสทุเรียนหน่อย ถือซะว่ากินเป็นยาค่ะ กินแล้วดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆ มีคำแนะนำจากแพทย์ว่าควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารเช้าทั้งสองวัน ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ 
และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ในการดีท๊อกซ์ลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิด้วย 
       


            ทุเรียนเมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกร้อน อาจทำให้ผู้ที่โรคประจำตัวอยู่แล้วอาการกำเริบเร็วขึ้น ส่วนประชาชนทั่วไปที่ชอบกินทุเรียน ก็ควรหมั่นออกกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายได้ใช้พลังงานและไปเผาผลาญสารอาหารที่เกินจำเป็น ซึ่งจะไปสะสมในร่างกายในรูปของความอ้วน แม้จะอร่อยแต่ก็ต้องกินกันอย่างมีสตินะคะ
      
       นอกจากนี้ตามความเชื่อคนไทยแต่โบราณ เชื่อว่าหากกินทุเรียนซึ่งถือว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ ก็ควรกินมังคุดซึ่งเป็นราชินีแห่งผลไม้ควบคู่ไปด้วย เนื่องจากทุเรียนเมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกร้อน ดังนั้นจึงควรกินมังคุดตาม เพราะมังคุดมีรสเย็น ช่วยลดอาการแน่นเฟ้อ อึดอัดในท้อง เรอไม่มีกลิ่นเหม็นค่ะ

DETOX เพื่อสุขภาพกับอาหาร9อย่าง

           หลายคนคงเคยได้ยิน ได้ฟัง หรือได้อ่านบทความต่างๆ และคุ้นกับคำว่า "DETOX" หรือ ดีท็อกซ์ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น มาทำความเข้าใจกันก่อนนะคะว่าดีท็อกซ์ที่กล่าวถึงเนี่ย คืออะไร
          ดีท็อกซ์ คือ การนำเอาสารพิษออกจากร่างกายของเราให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ตกค้างอยู่ในร่างกาย จนอาจกลายเป็นพิษเป็นภัยต่อสุขภาพ
          เมื่อคนเราได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าไปนั้น กลไกต่าง ๆ ในร่างกายจะทำหน้าที่ขจัดออกมาแต่หากได้รับ เป็นจำนวนมากจนเกินไป และสะสมมาเป็นเวลานาน ระบบก็ไม่สามารถที่จะกำจัดได้หมด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคนเรารับประทานอาหารเข้าไป เกิดการย่อยสลาย ทำให้เกิดคราบตกค้างเกาะอยู่ตามผนังลำไส้ หมักหมมอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนกลายเป็นกากสารพิษ ปิดกั้นไม่ให้ร่างกายเรารับสารอาหารได้เต็มที่และลำไส้เราต้องดูดรับพิษร้ายเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนของโลหิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากได้รับ เป็นจำนวนมากจนเกินไป และสะสมมาเป็นเวลานาน ระบบก็ไม่สามารถที่จะกำจัดได้หมด
ดังนั้นการขจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกายก็เหมือนการ ฟอกชำระล้างระบบต่างๆ  โดยเฉพาะระบบการย่อยดูดซึมอาหารและระบบไหลเวียนโลหิตให้พ้นจากสภาวะเป็นพิษ
           ลองดูก็ไม่เสียหายนะคะกับการดีท็อกซ์ไหม ตอนนี้ร่างกายของเราไม่รู้มีสารพิษมากเท่าไหร่ ถึงเวลาที่เราจะดีท็อกซ์หรือยัง วันนี้มีวิธีการดีท็อกซ์ธรรมชาติ แค่รับประทานอาหารเหล่านี้ ก็เป็นการช่วยร่างกายในการล้างพิษแล้วล่ะค่ะ

    1. กระเทียมเป็นแหล่งอาหารวิตามินซีสูง ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและเผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำมะนาว (แบบไม่ใส่น้ำตาล) ทุกเช้าจะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญในร่างกายกระเทียมมีวิตามินซี ซึ่งช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและตับ แต่ไม่ควรกินกระเทียมไปทั้งเม็ดเพราะมีเอ็มไซม์มากเกินไป ควรจะหั่นหรือซอยบางๆ ทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนแล้วนำไปปรุง


2. น้ำมะนาว
เป็นแหล่งอาหารวิตามินซีสูง ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและเผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำมะนาว (แบบไม่ใส่น้ำตาล) ทุกเช้าจะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย
3.ขิง 
ขิงนอกจากจะเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนให้อาหารแล้วยังช่วยขับของเสียออกจากผิวหนังได้อีกด้วย ด้วยการนำขิงบดละเอียดพร้อมกับเกลืออาบน้ำลงในอ่างอาบน้ำร้อน หลังจากนั้นลงไปแช่ตัวให้นานเท่าที่ทำได้ เท่านี้จะเป็นการขับของเสียออกจากร่างกายได้อีกหนึ่งทาง


4. ผักใบเขียว 
คลอโรฟิลล์จากพืชช่วยเรื่องการย่อยอาหาร ผลที่ตามมาคือร่างกายจะกำจัดของเสียได้ง่ายขึ้น ลองทานแบบสลัด ใส่ผักในซุป หรือจะผัดกับน้ำมันมะกอกแล้วแต่ตามเมนูที่ชอบ
5. ธัญญพืช 
ข้าวโอ๊ตและขนมปังข้าวไรย์เป็นอาหารที่ทานกันตั้งนานแล้วแต่ถึงอย่างไร ธัญญพืชเหล่านนี้ยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากด้วยเช่นกัน เพราะประกอบด้วยไพเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพ 

6. ชาเขียว 
เรารู้กันดีอยู่ว่าการดื่มชาเขียวช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกาย นอกจากนี้สารคาเตชินที่มีอยู่ในชาเขียวยังช่วยเร่งการทำงานของตับและเพิ่มการผลิตเอ็มไซม์เพื่อขจัดของเสียในร่างกาย

7. บีทรูท 
ไฟเบอร์จากบีทรูทจะเพิ่มการผลิตเอ็มไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระในตับซึ่งจะช่วยตับและถุงน้ำดีกำจัดสารพิษอื่นๆ ออกจากร่างกาย

8. ผักกาด 
มีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดตับ ลองทานน้ำซุปใส่ผักกาดหรือทานเป็นสลัดกับแอปเปิ้ลเพิ่มความกรุบกรอบให้รสชาติอาหาร

9. ผลไม้สด 
ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆ มะม่วง แอปเปิ้ลหรือผักสด ต่างอุดมด้วยไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามิน ซึ่งจะช่วยให้ขับของเสียออกจากร่างกายเช่นกัน

ชาบำรุงหัวใจ : ชาไม่เติมนม

          ชา เป็นเครื่องดื่มอีกชนิดหนึงที่หาดื่มกันได้ไม่ยาก มีตั้งแต่แก้วละไม่กี่สิบบาท จนระดับหลายร้อย ไม่ว่าเหตุผลในการซื้อชาของคุณจะเพราะอร่อย กระหาย ล้าจากการทำงาน แก้เครียด จีบสาวเจ้าของร้าน แก้เขิน หรือคลายเหงา แต่ถ้าเหตุผลของการซื้อชาดื่มของคุณคือ เพื่อสุขภาพอยากให้คุณลองอ่านบทความนี้
          มีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ชาช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และทำให้เส้นเลือดใหญ่ขยาย อย่างไรก็ดี นักวิจัยจากโรงพยาบาลคาริตของมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เยอรมนี พบว่า หากคุณชอบดื่มชาผสมนมเพื่อเพิ่มความนุ่มนวล หรือเพิ่มรสชาติความหวาน นมจะทำให้ประโยชน์ของชาในการปกป้องโรคหัวใจหมดไป ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดทั่วโลกรองจากน้ำ ดังนั้น ประโยชน์ของชาจึงมีความสำคัญในแง่สาธารณสุข 
           นอกจากเหตุผลของการเติมนมลงไปในชาเพื่อเพิ่มความกลมกล่อม ก็ไม่มีใครสามารถบอกเหตุผลที่แท้จริงได้ว่าการเติมนมลงไปในชาจะให้ผลอย่างไร ดร.เวเรนา สแตงล์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจของโรงพยาบาลคาริต และทีมนักวิจัยพบว่า โปรตีน casein ในนมทำให้ปริมาณสาร catechin ที่มีฤทธิ์ปกป้องโรคหัวใจลดลง 
           หลังจากเปรียบเทียบผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำอุ่น ชาแบบเติมนมและไม่เติมนมกับผู้หญิงสุขภาพดี 16 คนแล้วดูเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อมือก่อนและหลังดื่มชา 2 ชั่วโมง สิ่งที่พบคือ ชาดำทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับการดื่มน้ำอุ่น แต่เมื่อเติมนมลงไป คุณประโยชน์นั้นจะหายไปทันที  ทราบอย่างนี้แล้วลองปรับเปลี่ยนเป็นชาไม่ใส่นมกันดูนะคะ

          

Glutathione : ผิวขาว!! ประโยชน์หรือโทษ

"ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารเพื่อผิวขาว ขาวขึ้นภายใน 1-2 เดือน"
"ขาวผ่องอมชมพูเหมือนพริตตี้ ด้วยกลูตาไธโอนเพียว 100%"
"อยากผิวสวยเหมือนดารา กลูตาไธโอน ช่วยคุณได้"
"ผิวขาวสวยทั่วเรือนร่างเห็นผลทันตาใน 3 วัน ด้วยกลูตาไธโอนแบบฉีด"

          ข้อความเหล่านี้ คือโฆษณาชวนเชื่อที่มีอยู่จริงและมีอยู่มากในเว็บไซต์ ใบปลิว ที่ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณสาร "กลูตาไธโอน" สาวๆคงรู้จักชื่อนี้ในนาม ช่วยเพิ่มความขาว แต่แท้จริงแล้วเจ้ากลูตาไธโอน ถูกใช้ประโยชน์ทางการแพทย์อย่างไรมาทราบกันค่ะ
           กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วย กรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine, Glutamic acid กลูตาไธโอนเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ชนิดละลายน้ำได้ ที่สำคัญร่างกายเราสร้างขึ้นอยู่แล้ว หน้าที่สำคัญของกลูตาไธโอนคือการยับยั้งการสร้างเมลานิน (สารที่ทำให้ผิวสีดูเข้ม) ไม่ให้สร้างมากเกินไป แล้วทำไมร่างกายจะต้องสร้างเจ้าเมลานินให้สาวผิวคล้ำกันด้วย ก็เพราะเมลานินจะช่วยในการปกป้องชั้นผิวหนังไม่ให้แสงแดดแผดเผาหรือทำลายเซลล์นั่นสิคะ หน้าที่อื่นๆของกลูตาไธโอน คือช่วยปกป้องร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยตับในการย่อยสลายสารพิษ เมื่อมีสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายรับรู้ก็จะผลิตเจ้ากลูตาไธโอนมากขึ้นตามไปด้วยเพื่อไปทำลายสารพิษเหล่านั้น
           ในกรณีผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ ร่างกายไม่สามารถย่อยสารพิษหรือขับของเสียออกจากร่างกายได้ จึงมีการคิดค้นการฉีดกลูตาไธโอนเข้าไปเพื่อช่วยในการทำลายสารพิษ แต่พบว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นคือ ผิวผู้ป่วยมะเร็งตับขาวขึ้น เพราะปริมาณกลูตาไธโอนมาก จึงไปมีผลในการยับยั้งเมลานิน ทำให้ปัจจุบันมีกลุ่มคลินิกเสริมความงาม อ้างว่าเป็นสารที่ใช้ผสมกับวิตามินซี ฉีดทำดีท็อกซ์ผิวขาว ทำให้มีการนำไปใช้เป็นอาหารผิวเพื่อผิวเนียนขาวใสอย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ซึ่งเป็นที่นิยมของดารา นางแบบ นายแบบ 
           ก่อนจะตัดสินใจใช้พิจารณากันดีๆนะคะ กลูตาไธโอนดูดซึมน้อยมาก นั่นหมายความว่าเราต้องกินหรือฉีดเข้าไปในปริมาณมากๆ ค่าใช้จ่ายก็สูง ในขณะที่ร่างกายดูดซึมไว้แค่นิดเดียว หากวันนี้มีตังค์ฉีดแล้วสวยขาว แล้วถ้าวันนึงที่ไม่มีตังค์ส่วนนี้แล้วก็ต้องกลับมาผิวคล้ำ ต้องพิจารณาดีๆว่าคนรอบข้างจะมองอย่างไร ผู้ที่ฉีดเป็นประจำ เช่นดาราที่ต้องใช้ผิวทำมาหากินเค้าต้องมีการตรวจสุขภาพร่างกาย ตรวจตับ ไต และปริมาณสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย หากเราเพียงแค่ฉีดให้ขาวต้องพิจารณากันหน่อยแล้วค่ะว่าความขาวเพียงชั่วขณะที่ได้ คุ้มค่ากับการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายหรือไม่

              อาหารที่พบปรีิมาณกลูตาไธโอนสูง เช่น พืชผักชนิดต่างๆ ผลไม้ทั่วไปและเนื้อสัตว์ แต่จะพบมากในหน่อไม้ฝรั่ง นม ไข่ สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วนะคะ

ยาขม!! กินพร้อมน้ำผลไม้ได้ไหม





"หวานเป็นลม ขมเป็นยา" เป็นสุภาษิตที่คุ้นหูมาตั้งแต่จำความได้เลยนะคะ ทุกครั้งที่ไม่สบายแน่นอนล่ะต้องได้กินยา และทุกครั้งที่เด็กปฏิเสธการกินยาสุภาษิตนี้จะถูกพูดออกมาเตือนสติเราเสมอ แน่นอนล่ะค่ะนาเป็นสิ่งที่ขมจนทุกครั้งที่นึกถึงเล่นเอาพะอืดพะอมกันเลยทีเดียว แม้เภสัชกรที่ผลิตยาจะมีเทคนิกหรือกระบวนการกลบรสบ้างแล้วก็ตาม 


            หลายคนคงคิดวิธีแก้ปัญหาในกับการกินยาที่ขมๆเหล่านั้น ด้วยการกินพร้อมขนมบ้าง รีบกลืนบ้าง กินให้สัมผัสลิ้นน้อยที่สุดบ้าง แล้วแต่สไตล์ความชอบนะคะ แต่การกินยาแล้วดื่มน้ำผลไม้แทนน้ำเปล่าเนี่ย ควรระวังกันมากๆนะคะ นั่นอาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตราย
อย่างที่คาดไม่ถึงทีเดียวค่ะ  
              
              มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ซานฟรานซิสโก ได้เปิดเผยผลการวิจัย ซึ่งบ่งว่าน้ำผลไม้ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย ที่จะทำให้ประสิทธิภาพ
ในการรักษาของยาหมดไป เพราะก่อนที่ยานั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด น้ำผลไม้ จะต่อต้านการดูดซึมของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่างๆ รวมไปถึงยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ ผลการวิจัยที่ได้รับการเปิดเผยก่อนหน้านี้ บ่งบอกถึงอันตรายของน้ำผลไม้ในแง่ ที่ส่งผลต่อการรับประทานยาเช่นกัน เพราะฤทธิ์ในการทำลายเอนไซม์ในร่างกาย 
ที่ทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้ลดลง ทำให้ตัวยาบางชนิดรวมถึงยาที่ใช้ในการรักษา โรคความดันโลหิตและแอนติฮิสตามีน (Antihistamines) มีฤทธิ์ในการรักษารุนแรงขึ้น เพราะในบางกรณีที่ร่างกายได้รับตัวยา
มากเกินขนาด จะเป็นผลเสียต่อการรักษาและร่างกายผู้ป่วย
ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการทานยาพร้อมน้ำผลไม้ทุกชนิด และเลือกรับประทานกับน้ำเปล่าดีที่สุดนะคะ ถึงอย่างไรสุภาษิตหวานเป็นลมขมเป็นยาก็ยังคงใช้ได้แม้ในปัจจุบันนี้ค่ะ

tight jean syndrome : โรคที่เกิดจากการใส่ยีนต์


Trend ที่กำลังมาแรงในตอนนี้คงหนีไม่พ้น กางเกงยีน DAVE หรือ SKINNY ที่เรียกกัน เคยสังเกตไหม๊คะทุกครั้งที่ถอดกางเกงออกจะรู้สึกเหมือนเจ้าเรียวขาของเราได้ปลดปล่อย หลุดพ้นจากพันธนาการยังไงอย่างนั้น จริงๆแล้วอาการชาที่เกิดจากการใส่กางเกง DAVE หรือ SKINNY เรียกเป็นอาการชนิดหนึ่งทางการแพทย์เลยนะคะ เรียกกันว่า "Tight Jean Syndrome" เป็นอาการป่วยที่หลายๆท่านอาจนึกไม่ถึง เรามาทราบกันเลยว่าอาการที่กล่าวถึงมีอาการอย่างไรบ้าง

             การที่เราสวมใส่กางเกงที่ฟิตแน่นจนเกินไป จะส่งผลเสียกับเส้นประสาทและกล้ามเนื้อของเราได้ กางเกงที่รัดต้นขามากๆอาจทำให้เกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อ และทำให้รู้สึกชาและปวดขาได้ เป็นสภาพที่เรียกว่า "meralgia paresthetica" หรือบางครั้งก็เรียกว่า “tight jean syndrome” ( คือ อาการที่เกิดจากการใส่กางเกงยีนส์ฟิตจนเกินไป )

            อาการนี้มีความเสี่ยงมาจากแฟชั่นการแต่งตัวสมัยใหม่ ที่ต้องใส่กางเกงยีนส์ที่รัดต้นขามากๆ ทำให้เกิดผลเสียกับเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และการใส่รองเท้าส้นสูงที่เกินพอดี ที่ส่งผลเสียกับกระดูกของเท้า และกระดูกสันหลัง การใส่เสื้อผ้าที่เล็กจนเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้อีกด้วย ได้แก่อาการท้องอืดท้องเฟ้อ เนื่องจากมีการสะสมของแก๊สภายในกระเพาะอาหาร
                  การแก้ปัญหาที่ดีก็คือ ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่สบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก การแต่งกายตามแฟชั่นก็ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีคุณภาพ มีความยืดหยุ่น ไม่ส่งผลเสียต่อกล้ามเนื้อของเราในอนาคต เพราะในบางครั้งอาการปวดเมื่อยตามร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆที่ท่านไม่ได้ทำงานหนักเลย นั่นอาจจะมาจากการแต่งกายของเราเองนะคะ

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แตงโม : มากกว่าผลไม้ฉ่ำเย็น


ผลไม้ที่นึกถึงในอากาศร้อนๆแบบนี้คงหนีไม่พ้นเจ้าแตงโม ผลไม้แห่งความชุ่มฉ่ำอย่างแน่นอน เนื่องจากในผลแตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่มีชื่อว่า "ไลโคปีน" (Lycopene) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ อีกทั้งในเนื้อแตงโมยังมี "เบตาแคโรทีน" (Beta-Caroteneซึ่งเป็นสารที่ร่างกายนำมาใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ รวมถึงยังช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงอีกด้วย
นอกจากความฉ่ำเย็นหลังรับประทาน สรรพคุณมากมายของแตงโมทางด้านสุขภาพก็มีมากมายเช่นกัน
            บำรุงร่างกาย -  แตงโมมีสารที่เรียกว่า lycopene ที่มีฤทธิ์ antioxidant และช่วยในการบำรุงหัวใจรวมถึงมะเร็งสารนี้มีอยู่มากในมะเขือเทศเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว แตงโมมีมากกว่าถึง 40 เปอร์เซ็นต์
            วิตามินซี -  แ9งโมเสี้ยวใหญ่ๆ จะเต็มไปด้วยวิตามินซีที่จำเป็นต่อร่างกายของเรา
            ป้องกันการติดเชื้อ -  การดื่มน้ำแตงโมช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
            แผลหายเร็ว - - แตงโมเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะช่วยในการรักษาแผนได้เร็ว อย่าดื่มแต่น้ำแตงโม ให้กินเนื้อมันเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสีขาวอยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่หวาน แต่มีประโยชน์ทีเดียวนะ
             คลายเครียด - - แตงโมเต็มไปด้วยโพแทสเซียม ที่จะช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิต เรียกว่ากินแล้วจะอารมณ์ดี ยิ่งกินแบบเย็นๆ ยิ่งสบายใจ


             ลดความอ้วน - - ในแตงโมมีแคลอรี่แค่ 96 แคลอรี่เท่านั้น และการกินแตงโมที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำ ทำให้เราอิ่มได้เร็ว และไม่ต้องกินอาหารอื่นอีก เรียกว่าแตงโมนี่มีประโยชน์มากมายมหาศาลจริงๆ เนอะ


วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กล้วย : ช่วยอาการเมาค้าง


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องใช้พลังงานในชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก และหากต้องการให้ระดับพลังงานที่หย่อนยานลงกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว บอกได้เลยค่ะว่าไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่ากล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติ ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร
กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายอย่างเต็มที่นานถึง90นาทีนั้น สามารถทดแทนด้วยการกินกล้วยเพียง 2 ผล จึงไม่น่าแปลกใจว่าผลไม้โปรดของเหล่านักกีฬาระดับโลกจึงเป็นกล้วยนี่เอง
นอกจากให้พลังงานแล้วกล้วยยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค เช่น



โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในภาวะโลหิตจาง โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก  กล้วยยังสามารถช่วยบรรเทาอาการอื่นๆได้อีก เช่น โรคนอนไม่หลับ โรคท้องผูก เนื่องจากกล้วยมีกากและเส้นใยทำให้ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องขับถ่าย
                และอีกหนึ่งสรรพคุณที่ถูกใจใครหลายๆคน นั่นคือ กล้วยช่วยอาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเราค่ะ ลองดูนะคะ

มังคุด : ผลไม้คลายร้อน


          



               อากาศร้อนๆแบบนี้ คงนึกถึงอาหาร หรือของกินเพื่อให้ร่างกายเติมเต็มกับความเย็นสักหน่อยนะคะ นอกจากของหวานเย็นๆ ผลไม้ที่ช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดีก็คือ มังคุด สารแทนนินที่มีในเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ สามารถนำมาสกัดเป็นเครื่องสำอางสมานผิวได้ผลดีทีเดียว แทนนินนั้นนอกจากมีคุณสมบัติช่วยในการสมานแผล และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผล ฝี หนองแล้ว แทนนินยังสามารถใช้เป็นสารกันบูดในอาหารได้อีกด้วยค่ะ
"มังคุด" ด้วยรูปทรงคล้ายมงกุฎราชินีจึงได้รับการยกย่องให้เป็น"ราชินีแห่งผลไม้"การบริโภคมังคุดนั้นช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดีเพราะมังคุดจะช่วยลดอาการร้อนใน แถมยังแก้กระหายได้ด้วย ส่วนกากใยของเนื้อมังคุดจะช่วยในการขับถ่ายทั้งยังให้วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ อีกหลายชนิด อาทิ กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและน้ำตาลแต่ไม่ควรทานมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการท้องเดินได้          
สารสกัดจากเปลือกมังคุดมีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ก่อสิวได้ และยังออกฤทธิ์ต้านเชื้อสิวอักเสบได้ดี นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดเปลือกมังคุดสามารถออกฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดรอยแผลเป็นของสิวอักเสบสูงถึงร้อยละ 77.8% แสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถนำมาพัฒนาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ในการป้องกันและ รักษาสิวอักเสบได้ดีเลยทีเดียว



            สังเกตได้ว่าปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากมังคุดหลากหลายมากทีเดียว ทั้งกินเป็นอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา และเครื่องสำอางที่ช่วยบำรุงผิวพรรณตั้งแต่หัวจรดเท้ากันเลยทีเดียว มีงานวิจัยสนับสนุนมากมายถึงคุณประโยชน์ของมังคุด ลองแวะซื้อหาผลิตภัณฑ์จากมังคุดมาลองใช้กันดูนะคะ

มะนาว : แก้ปัญหาผิว








มะนาว เป็นผลไม้พื้นๆ ที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน นอกจากสรรพคุณที่ทราบกันอยู่แล้ว เช่น ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน แก้แผลพุพอง ฟกช้ำ ยังช่วยในเรื่องความงามได้ด้วยนะคะ
แก้ผิวแตก -ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง 
            แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุดออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ 
          ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้ 
         แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง 


ส้ม : ผลไม้เพื่อสุขภาพ


           คงไม่มีใครไม่เคยกิน "ส้ม" นะคะ ดูเหมือนเราจะรู้จักส้มดีตามชื่อของมัน แต่ส้มไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายด้วยนะคะ
          ส้มเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ที่ให้ทั้งรสเปรี้ยวและหวาน จึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือ ให้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น
          ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
          เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย
          ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน
          มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น
          สังเกตนะคะว่า ส้ม มักจะเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่ในตะกร้าเพื่อสุขภาพในการนำไปเยี่ยมคนที่คุณรักนั่นเนื่องจากว่านอกจากคนทั่วไปแล้ว ส้มยังมีประโยชน์สำหรับ
          แม่ที่อยากให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำส้มคั้น ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าต้องให้หลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมกับเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ที่สำคัญการให้น้ำส้มกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตามควรผสมน้ำในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากส้มจะมีรสชาติเข้มข้นการให้น้ำส้มลูกโดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ค่ะ          พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบ แล้วค่อยให้น้ำส้มอย่างเดียว เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ติดหวานตั้งแต่ตัวน้อยๆ ค่ะ
          สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน ถ้าคิดจะกินส้ม ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง จึงควรกินเป็นผลเพราะจะมีกากใยดีกว่าเป็นน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มหลายผล

apple : ผลไม้แห่งความงาม


"apple : ผลไม้แห่งความงาม"            


           หากพูดถึงผลไม้เพื่อความงาม apple เป็นผลไม้ชนิดต้นๆที่ทุกคนนึกถึง ช่วยให้ผิวอ่อนโรย สดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็วลองนวดใบหน้าและลำคอด้วยเนื้อ apple สดๆ 
           สำหรับบำรุงผิวธรรมดา ปอกเปลือก apple บดให้ละเอียด และผสมกับครีมเปรี้ยว น้ำมันมะกอก (หรือน้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันเมล็ดทานตะวัน) หนึ่งช้อนชา และแป้งข้าวโพดหนึ่งช้อนชา ทาลงบนใบหน้าและทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
           สำหรับผิวแห้ง พอกหน้าด้วย apple อบ หรือต้มบดละเอียดผสมกับน้ำมันมะกอกและน้ำผึ้งหนึ่งช้องชา เพื่อทำให้ผิวยึดหยุ่นและชะลอกระบวนการร่วงโรยของผิว
           มือหยาบกร้าน ใช้ apple สดปอกเปลือกนวดลงสัก 2-3 นาที จากนั้น ล้างมือและทาครีมให้ความชุ่มชิ้น
           ส้นเท้าแตก หั่น apple เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ต้มในนมจนเป็นส่วนผสมข้นๆ ทาส่วนผสมลงบนส้นเท้า ปิดทับด้วยทิชชู ทิ้วไว้ 30 นาที ก่อนล้างออก ส้นเท้าจะนุ่มนวลขึ้น 

           มาทำความรู้จักกับประโยชน์ของ apple โดยแบ่งตามสีดังนี้
1.  apple แดง มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย
2.  apple สีชมพู มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดา apple ด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

3.  apple สีเขียว มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกิน apple สีเขียวนอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
4.  apple สีเหลือง มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ โดยมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก